สั่งของบิ๊กซีออนไลน์
สถานะคำสั่งซื้อ

เข้าสู่ระบบ

หรือ สมัครสมาชิก

เริ่มใช้งานบิ๊กพอยต์

11 Must Have โลชัน และครีม หนาวแค่ไหนก็ไม่กลัวผิดแห้ง 

    ใกล้จะเข้าหน้าหนาวแล้ว "ปัญหาผิวแห้ง" ถือเป็นอีกปัญหาหนึ่งที่อาจเกิดขึ้นอย่างเลี่ยงไม่ได้ เพราะนอกจากจะทำให้รู้สึกคันยุบยิบแล้ว สิ่งที่จะตามมามากกว่านั้น ผิวสวยๆของเราอาจมีอาการแดงลอกเป็นขุย แตกลายงูได้ ยิ่งแห้งก็ยิงคัน ยิ่งคันก็ยิ่งเกา เกาแรงมากๆเข้า ก็อาจเป็นสาเหตุให้นำมาสู่การติดเชื้อแบคทีเรียที่ผิวหนังได้อีกด้วย แต่หนาวนี้ไม่ต้องกลัวแล้ว เพราะพี่หมีบิ๊กกี้มี 11 ไอเทมที่ต้องมีก่อนจะเข้าหนาวนี้ ใช้ได้ทั้งผู้ชายและผู้หญิงอีกด้วย ไปดูกันเล้ยยย













ไฮยาลูรอน คืออะไร (Hyaluronic Acid): สารเติมความชุ่มชื้นเพื่อผิวที่อ่อนเยาว์

ไฮยาลูรอน (Hyaluronic Acid) หรือที่รู้จักกันว่า “กรดไฮยาลูโรนิก” เป็นสารสำคัญในวงการดูแลผิวที่มีคุณสมบัติโดดเด่นในการเติมเต็มความชุ่มชื้นให้แก่ผิวและช่วยคงความอ่อนเยาว์ ด้วยความสามารถที่น่าทึ่งในการกักเก็บน้ำได้สูงสุดถึง 1,000 เท่าของน้ำหนักตัว ทำให้ไฮยาลูรอนเป็นตัวเลือกยอดนิยมในการช่วยให้ผิวดูนุ่มนวลและกระชับ อีกทั้งยังเป็นที่นิยมใช้ในผลิตภัณฑ์ต่างๆ เช่น เซรั่ม ครีมบำรุง และทรีตเมนต์เพื่อเติมเต็มร่องลึกและลดริ้วรอย

ประโยชน์ของไฮยาลูรอน

  1. เพิ่มความชุ่มชื้นให้ผิว: ไฮยาลูรอนช่วยเติมน้ำเข้าสู่ผิวอย่างล้ำลึก ทำให้ผิวดูสดชื่น เต่งตึง และอิ่มน้ำมากยิ่งขึ้น
  2. ลดเลือนริ้วรอยและร่องลึก: ความชุ่มชื้นที่เพิ่มขึ้นช่วยทำให้ริ้วรอยและร่องลึกแลดูตื้นขึ้น ส่งผลให้ผิวดูเรียบเนียนและอ่อนเยาว์ขึ้น
  3. ช่วยให้ผิวแข็งแรง: ไฮยาลูรอนมีคุณสมบัติช่วยปกป้องผิวจากปัจจัยภายนอก ทำให้ผิวแข็งแรงและปกป้องจากการเกิดการระคายเคือง
  4. เหมาะกับทุกสภาพผิว: เนื่องจากเป็นสารที่ร่างกายสามารถผลิตขึ้นเองได้ตามธรรมชาติ ไฮยาลูรอนจึงเหมาะกับทุกสภาพผิว ทั้งผิวแห้ง ผิวมัน และผิวบอบบางแพ้ง่าย

เซราไมด์ (Ceramide) คืออะไร? ตัวช่วยกักเก็บความชุ่มชื้นและสร้างเกราะป้องกันผิวอย่างเป็นธรรมชาติ

เซราไมด์ (Ceramide) เป็นสารไขมันที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติในชั้นผิวหนังของเรา เป็นองค์ประกอบหลักที่ทำหน้าที่เสริมสร้างเกราะป้องกันผิว (Skin Barrier) ทำให้ผิวของเรากักเก็บความชุ่มชื้นและป้องกันการสูญเสียน้ำได้ดีขึ้น จึงช่วยให้ผิวคงความชุ่มชื้น ดูอิ่มน้ำและสุขภาพดี

โดยธรรมชาติ เซราไมด์จะทำหน้าที่เหมือน “กาว” ที่เชื่อมเซลล์ผิวให้ติดกัน ซึ่งช่วยป้องกันการเกิดรอยแห้งกร้านและการสูญเสียความชุ่มชื้น หากผิวขาดเซราไมด์ ผิวก็จะเกิดการแห้งกร้าน อ่อนแอและระคายเคืองได้ง่าย

ประโยชน์ของเซราไมด์

  1. เสริมเกราะป้องกันผิว: เซราไมด์ช่วยสร้างเกราะป้องกันผิวให้แข็งแรง ป้องกันไม่ให้สารที่อาจระคายเคืองเข้าสู่ชั้นผิวและช่วยลดการสูญเสียน้ำจากผิว
  2. รักษาความชุ่มชื้นให้ผิว: เซราไมด์ช่วยให้ผิวกักเก็บความชุ่มชื้นได้ดี ผิวจึงดูเรียบเนียนและอิ่มน้ำ ลดปัญหาผิวแห้งและแตกเป็นขุย
  3. ลดอาการอักเสบและการระคายเคือง: เนื่องจากเซราไมด์ช่วยเสริมเกราะป้องกันผิวที่แข็งแรง ผิวจึงสามารถรับมือกับการระคายเคืองได้ดีขึ้น ทำให้ลดปัญหาผิวแพ้ง่ายและการเกิดอาการอักเสบ
  4. ป้องกันริ้วรอยก่อนวัย: เมื่อผิวได้รับความชุ่มชื้นเพียงพอ เซราไมด์จะช่วยให้ผิวดูเต่งตึง ช่วยลดการเกิดริ้วรอยและสัญญาณแห่งวัยให้ผิวแลดูอ่อนเยาว์

ทำไมผิวจึงขาดเซราไมด์ได้?

เซราไมด์ตามธรรมชาติในผิวจะลดลงเมื่ออายุมากขึ้น หรืออาจลดลงเนื่องจากปัจจัยภายนอก เช่น แสงแดด มลภาวะ การใช้ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดผิวที่รุนแรง รวมถึงการเผชิญกับสภาพอากาศที่แห้งและเย็น ซึ่งอาจทำให้ผิวสูญเสียเซราไมด์และเสี่ยงต่อปัญหาผิวแห้งและแพ้ง่าย

แพนธีนอล มอยส์เจอร์ไรเซอร์ (Panthenol Moisturizer) คืออะไร? สารเติมความชุ่มชื้นเพื่อการบำรุงผิวล้ำลึก

แพนธีนอล (Panthenol) หรือที่รู้จักกันว่า "โปรวิตามินบี5" เป็นสารบำรุงผิวที่มีประโยชน์มากมายและเป็นที่นิยมในผลิตภัณฑ์ดูแลผิวและเส้นผม แพนธีนอลมีคุณสมบัติเด่นในการให้ความชุ่มชื้น ลดการระคายเคือง และเสริมสร้างความแข็งแรงให้แก่ผิว ทำให้ผิวดูอิ่มน้ำ นุ่มนวล และแข็งแรงขึ้นจากภายใน นอกจากนี้ แพนธีนอลยังมีความอ่อนโยนต่อผิว จึงเหมาะกับทุกสภาพผิวรวมถึงผิวแพ้ง่ายและผิวแห้ง

คุณสมบัติและประโยชน์ของแพนธีนอล

  1. เพิ่มความชุ่มชื้นและกักเก็บน้ำในผิว: แพนธีนอลช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นให้แก่ผิวโดยการดึงและกักเก็บน้ำเข้าสู่ชั้นผิว ทำให้ผิวดูสดใสและอิ่มน้ำยาวนาน ลดปัญหาผิวแห้งและลอกเป็นขุย
  2. เสริมสร้างเกราะป้องกันผิว: ด้วยคุณสมบัติในการสร้างเกราะป้องกันความชุ่มชื้น แพนธีนอลช่วยให้ผิวสามารถต่อสู้กับปัจจัยภายนอกที่อาจทำให้ผิวระคายเคืองและอ่อนแอได้ดีขึ้น
  3. ลดการอักเสบและการระคายเคือง: แพนธีนอลเป็นสารที่มีฤทธิ์บรรเทาการระคายเคือง จึงเหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาผิวแพ้ง่ายหรือมีอาการอักเสบ ช่วยลดรอยแดงและการคันบนผิวได้
  4. ฟื้นฟูและซ่อมแซมผิว: แพนธีนอลมีคุณสมบัติช่วยกระตุ้นการสร้างเซลล์ผิวใหม่และเร่งกระบวนการฟื้นฟูผิว ทำให้ผิวดูสุขภาพดีและลดเลือนริ้วรอย

ทำไมผิวถึงต้องการแพนธีนอล?

แพนธีนอลช่วยเติมเต็มความชุ่มชื้นที่อาจสูญเสียไปเนื่องจากปัจจัยต่างๆ เช่น สภาพอากาศ การเผชิญแสงแดด หรือการใช้ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดผิวที่รุนแรง ซึ่งทำให้ผิวแห้งและเกิดอาการระคายเคืองได้ง่าย การใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีแพนธีนอลจึงช่วยให้ผิวกลับมามีสมดุลที่ดีและป้องกันการเกิดริ้วรอยก่อนวัย


ฤดูหนาวแล้วผิวแห้ง? แก้ปัญหาผิวขาดน้ำด้วยวิธีการดูแลที่ได้ผลจริง

ฤดูหนาวเป็นช่วงเวลาที่หลายคนรอคอยเพราะบรรยากาศที่เย็นสบาย แต่ก็เป็นช่วงเวลาที่ปัญหาผิวแห้งและลอกมักจะตามมา เมื่ออุณหภูมิลดลง ความชื้นในอากาศก็ลดลงไปด้วย ทำให้ผิวเกิดการขาดน้ำและเกิดอาการแห้งแตกง่าย แม้แต่คนที่ปกติแล้วไม่ค่อยมีปัญหาผิวแห้ง ก็อาจพบว่าผิวแห้งมากขึ้นในช่วงฤดูหนาว บทความนี้จะอธิบายว่าทำไมฤดูหนาวทำให้ผิวแห้ง และแนะนำวิธีดูแลผิวที่สามารถป้องกันและรักษาอาการแห้งได้อย่างมีประสิทธิภาพ

 

1. ปัจจัยที่ทำให้ผิวแห้งในฤดูหนาว

1.1 ความชื้นในอากาศต่ำ

ในฤดูหนาว ความชื้นสัมพัทธ์ของอากาศลดลงอย่างมาก อากาศเย็นและแห้งจะทำให้ผิวสูญเสียน้ำได้ง่าย ส่งผลให้เกิดอาการแห้งและลอกเป็นขุย โดยเฉพาะบริเวณผิวที่บอบบางอย่างใบหน้า มือ และริมฝีปาก

 

1.2 การอาบน้ำอุ่นและการสัมผัสน้ำร้อนบ่อยเกินไป

อากาศเย็นในฤดูหนาวมักทำให้หลายคนเลือกใช้น้ำอุ่นหรือน้ำร้อนในการอาบน้ำ การอาบน้ำอุ่นบ่อยครั้งทำให้ผิวสูญเสียความชุ่มชื้นไปได้ง่าย เพราะน้ำอุ่นจะทำลายไขมันธรรมชาติที่ทำหน้าที่เป็นเกราะป้องกันผิว การขาดเกราะป้องกันนี้ทำให้ผิวแห้งเร็วขึ้น

 

1.3 ระบบทำความร้อนในที่พักอาศัยและที่ทำงาน

การใช้เครื่องทำความร้อนในบ้านหรือที่ทำงานในช่วงฤดูหนาวช่วยให้อบอุ่น แต่กลับส่งผลให้ความชื้นในอากาศภายในห้องลดลง ซึ่งเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ผิวแห้งเมื่ออยู่ในที่ที่มีการใช้เครื่องทำความร้อนเป็นเวลานาน

 

1.4 ลมเย็น

ลมเย็นในฤดูหนาวสามารถทำให้ผิวแห้งเร็วขึ้น การสัมผัสลมเย็นที่แรงจะทำให้ความชุ่มชื้นบนผิวถูกพัดออกไป ส่งผลให้ผิวอ่อนแอและระคายเคืองง่าย

 

2. อาการผิวแห้งในฤดูหนาวที่ควรระวัง

ผิวแห้งในฤดูหนาวอาจไม่ได้ส่งผลเพียงแค่ความไม่สบายตัว แต่อาจเป็นต้นเหตุของปัญหาผิวอื่นๆ หากไม่ได้รับการดูแลที่ถูกต้อง ได้แก่:

 

ผิวลอกเป็นขุย: เกิดจากการขาดความชุ่มชื้น ส่งผลให้ผิวหนังแตกเป็นขุยและแห้งมาก

อาการคันและระคายเคือง: ผิวที่ขาดความชุ่มชื้นจะมีโอกาสเกิดการอักเสบและคันได้ง่าย โดยเฉพาะในผู้ที่มีผิวแพ้ง่าย

รอยแตกและรอยเลือดออก: เมื่อผิวแห้งและแตกมากอาจเกิดรอยแตกที่ทำให้เลือดออก ทำให้ต้องระมัดระวังในการดูแลและป้องกันการติดเชื้อ

3. วิธีดูแลผิวให้ชุ่มชื้นในฤดูหนาว

เพื่อป้องกันไม่ให้ผิวแห้งและเสียหายในช่วงฤดูหนาว เราสามารถดูแลผิวด้วยวิธีการที่เหมาะสมดังนี้

 

3.1 เลือกใช้มอยส์เจอไรเซอร์ที่เหมาะกับฤดูหนาว

เลือกใช้มอยส์เจอไรเซอร์ที่มีส่วนผสมที่ช่วยกักเก็บความชุ่มชื้นสูง เช่น ไฮยาลูรอน เซราไมด์ หรือแพนธีนอล ซึ่งช่วยให้ผิวรักษาความชุ่มชื้นและสร้างเกราะป้องกันผิวที่แข็งแรง แนะนำให้ทามอยส์เจอไรเซอร์ทันทีหลังอาบน้ำขณะที่ผิวยังชื้นอยู่เล็กน้อย เพื่อช่วยกักเก็บน้ำเข้าสู่ผิวได้ดีขึ้น

 

3.2 ดื่มน้ำให้เพียงพอ

การดื่มน้ำอย่างเพียงพอเป็นวิธีที่ดีในการรักษาสุขภาพผิวจากภายใน ควรดื่มน้ำสะอาดอย่างน้อยวันละ 8 แก้วเพื่อช่วยให้ร่างกายและผิวหนังได้รับความชุ่มชื้นที่เหมาะสม

 

3.3 ใช้ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดผิวที่อ่อนโยน

การเลือกใช้สบู่หรือคลีนเซอร์ที่อ่อนโยนและไม่ทำให้ผิวแห้งเกินไปเป็นสิ่งสำคัญ หลีกเลี่ยงผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของแอลกอฮอล์หรือน้ำหอมมากเกินไปเพราะจะทำให้ผิวแห้งยิ่งขึ้น

 

3.4 หลีกเลี่ยงการอาบน้ำอุ่นนานเกินไป

แม้ว่าน้ำอุ่นจะช่วยให้ร่างกายรู้สึกอบอุ่นและผ่อนคลาย แต่การอาบน้ำนานๆ จะทำให้ผิวสูญเสียความชุ่มชื้นได้อย่างรวดเร็ว ควรปรับอุณหภูมิของน้ำให้ไม่ร้อนเกินไปและอาบในเวลาที่สั้นลง

 

3.5 ใช้เครื่องเพิ่มความชื้น (Humidifier)

การใช้เครื่องเพิ่มความชื้นในบ้านหรือในที่ทำงานจะช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นในอากาศ ทำให้ผิวไม่สูญเสียน้ำจากการอยู่ในสภาพแวดล้อมที่แห้ง ควรตั้งเครื่องไว้ในห้องนอนเพื่อให้ผิวคงความชุ่มชื้นตลอดคืน

 

3.6 ใส่เสื้อผ้าปกป้องผิว

เสื้อผ้าที่เหมาะสมจะช่วยป้องกันลมเย็นและปกป้องผิวไม่ให้สูญเสียความชุ่มชื้น ควรใส่เสื้อแขนยาว หมวก ผ้าพันคอ และถุงมือเมื่อต้องออกไปเผชิญกับอากาศหนาวและลมแรง เพื่อให้ผิวได้รับการปกป้องอย่างเต็มที่

 

3.7 ใช้ครีมกันแดดแม้ในวันที่อากาศหนาว

แม้จะเป็นฤดูหนาว แต่แสงยูวีจากดวงอาทิตย์ยังคงทำร้ายผิวได้ ควรทาครีมกันแดดทุกวันโดยเฉพาะเมื่ออยู่กลางแจ้ง เพื่อป้องกันรังสีอัลตราไวโอเลตที่สามารถทำให้ผิวแห้งและเกิดริ้วรอยได้

 

3.8 รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ต่อผิว

อาหารที่อุดมด้วยวิตามิน E, C และกรดไขมันโอเมก้า-3 เช่น ปลาแซลมอน ถั่ว และผลไม้ จะช่วยบำรุงผิวจากภายใน ช่วยให้ผิวมีความชุ่มชื้นและแข็งแรงขึ้น อีกทั้งช่วยลดอาการแห้งและป้องกันการเกิดการอักเสบในผิว

 

4. ส่วนผสมที่ควรมองหาในผลิตภัณฑ์ดูแลผิวในฤดูหนาว

การเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมที่เหมาะสมกับฤดูหนาวจะช่วยเสริมความชุ่มชื้นให้กับผิวได้ดียิ่งขึ้น

 

ไฮยาลูรอน (Hyaluronic Acid): ช่วยกักเก็บความชุ่มชื้นในผิว ทำให้ผิวอิ่มน้ำ

เซราไมด์ (Ceramide): สร้างเกราะป้องกันผิว ป้องกันการสูญเสียน้ำ

กลีเซอรีน (Glycerin): ช่วยดึงน้ำเข้าสู่ชั้นผิว ให้ผิวชุ่มชื้นและลดการแห้งลอก

เชียบัตเตอร์ (Shea Butter) และ โจโจบาออยล์ (Jojoba Oil): สารสกัดจากธรรมชาติที่ช่วยให้ผิวเนียนนุ่มและชุ่มชื้น

5. สัญญาณที่บอกว่าผิวขาดความชุ่มชื้นและต้องได้รับการดูแล

หากคุณสังเกตเห็นว่าผิวแห้งตึง มีรอยแดงหรือแตกเป็นขุย นั่นแสดงว่าผิวของคุณกำลังขาดความชุ่มชื้นและต้องได้รับการดูแลเป็นพิเศษ โดยเฉพาะในฤดูหนาวที่ผิวมีความเสี่ยงต่อการขาดน้ำมากยิ่งขึ้น การหมั่นดูแลและปกป้องผิวด้วยมอยส์เจอไรเซอร์และการหลีกเลี่ยงปัจจัยที่ทำให้ผิวแห้งเป็นสิ่งสำคัญในการรักษาสุขภาพผิวให้ดูดีตลอดฤดูหนา