ความแตกต่างของชีสแต่ละชนิด

Big C > ทำง่าย สดสั่งได้ > ความแตกต่างของชีสแต่ละชนิด

ความแตกต่างของชีสแต่ละชนิด

ถ้าพูดถึงอาหารที่คนนิยมทานกันมากที่สุดในทุกช่วงวัย หรือแทบจะเป็นอาหารโปรดที่ครองใจใครหลายคน ต้องยกให้ “ชีส” ที่มีให้เลือกหลากหลายชนิดและยังมีเอกลักษณ์ที่แตกต่างกันออกไป รสชาติที่ให้ความมัน เค็ม จะทานเปล่า ๆ หรือจะใส่เป็นท็อปปิ้ง ส่วนประกอบของอาหารประเภทต่าง ๆ ก็ยังได้ ว่าแต่ชีสแต่ละชนิดต่างกันอย่างไรล่ะ ตามไปดูกันค่ะ

ชีสมีแบบไหนบ้างนะ

รู้หรือไม่ว่าปัจจุบันทั่วโลกมีชีสมากถึง 3,000 กว่าชนิด ซึ่งชีสจะทำมาจากนมของสัตว์ ผ่านกระบวนการพาสเจอร์ไรส์นมดิบ ใส่เชื้อแบคทีเรียลงไป พร้อมกับเติมเอนไซม์ที่ทำให้โปรตีนในน้ำนมจับตัวเป็นก้อนสีเหลืองมีและมีวิธีการบ่มตามอุณหภูมิ ซึ่งในประวัติศาสตร์ระบุว่าชีสเกิดจากความบังเอิญเพราะชนเผ่าเบดูอินเรร่อนอยู่ในทะเลทรายทำการแบกน้ำนมโดยใช้กระเพาะอาหารของแพะใส่น้ำนมบรรทุกไว้บนหลังอูฐเพื่อประทังชีวิต แต่ระหว่างการเดินทางนั้นต้องผ่านความร้อนและการเขย่า ทำน้ำนมในภาชนะกระเพาะแพะเกิดการแยกชั้นน้ำและไขมันออกจากกัน ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของชีสที่เกิดจากความไม่ตั้งใจ ซึ่งเราจะแนะนำชีสหลัก ๆ ที่คนนิยมทานกันมีดังนี้

ชีสแต่ละชนิด
  • มอสซาเรลลาชีส (Mozzarella Cheese)

มอสซาเรลลา หรือชีสยืด ความยืดนี่ล่ะค่ะ เป็น signature ของชีสชนิดนี้ ซึ่งจะมีทั้งความยืด ความนุ่ม มีสีขาวหรือออกเหลืองอ่อน ๆ จะขึ้นอยู่กับอาหารที่สัตว์กินไปใช้สำหรับโรยหน้าพิซซ่า ลาซานญ่า หรือจะเอามาทอดก็อร่อยเหาะไปเลย โดยมอสซาเรลลามีถิ่นกำเนิดมาจากประเทศอิตาลี ที่นิยมใช้นมควายในการผลิต

  • มาสคาโปนชีส (Mascarpone Cheese)

เป็นชีสที่รูปลักษณ์ดูแปลกตา โดยจะมีลักษณะเป็นครีมชีสที่มีความนุ่ม พร้อมจะละลายในปาก ถิ่นกำเนิดมาจากประเทศอิตาลีเช่นกัน เรามักจะเห็นชีสชนิดนี้ในขนมหวานเสียมากกว่า หากเป็นเมื่อก่อน อาจจะแทบไม่คุ้นชื่อชีสนี้เลยค่ะ แต่ปัจจุบันร้านขนมหลายร้านหันมาสร้างสรรค์เมนูขนมไว้มากมายด้วยชีสมาสคาโปน

  •  เชดดาชีส (Cheddar Cheese)

อีกหนึ่งชีสที่คนไทยคุ้นเคยเป็นอย่างดี เป็นชีสประเภทเนยแข็ง ที่มีที่มาจากเมืองผู้ดีอย่างอังกฤษ แคว้น Somerset มีรสชาติเข้มข้นกว่ามอสซาเรลลา นิยมนำมาโรยหน้าสลัดหรือพาสต้า สปาเกตตี้ จุดเด่นของเชดดาชีสอยู่ที่รสชาติออกเค็มแต่ไม่ยืด

  • กูวด้าชีส (Gouda Cheese)

อ่านชื่ออาจจะไม่คุ้น แต่ถ้าอธิบายว่าเป็นชีสกึ่งแข็ง เนื้อเนียน มักมาในรูปลักษณ์ที่กลมแบนมีการเคลือบผิวของชีสด้วยขี้ผึ้งพาราฟินเป็นสีแดงหรือสีเหลือง เนื่องจากป้องกันไม่ให้ชีสแห้งมากหลังจากเริ่มตากชีสให้แห้ง
2-3 วัน มักทานคู่กับไวน์หรือเบียร์เป็นกับแกล้มชั้นดี ที่ให้รสชาติเค็ม ๆ มัน ๆ หั่นเป็นชิ้นบาง ๆ กำลังพอดี

  • บลูชีส (Blue Cheese)

มาถึงสุดยอดชีสกันบ้าง ที่เรียกว่าถ้าใครชอบก็คือชอบเลย แต่ถ้าใครไม่ชอบก็จะเกลียดไปเลยเช่นกัน ลักษณะของชีสคล้ายมีราขึ้น ซึ่งก็ใช่นั่นแหละค่ะ เพราะเขาใช้รา Penicillium ในการผลิต โดยถิ่นกำเนิดมาจากประเทศฝรั่งเศส ตัวชีสสีเหลืองอ่อน ๆ นวล ๆ มีสีโทนฟ้าเขียวจากรา ซึ่งบลูชีสจะมีกลิ่นที่เฉพาะตัวมาก ๆ มีรสชาติที่เค็ม เข้มข้น นิยมนำไปทำอาหารประเภทเนื้อสัตว์อบด้วยชีส เช่น ไก่อบชีส เบคอนอบชีส หรือจะทานคู่กับขนมปังและไวน์ก็อร่อยไปอีกแบบ นอกจากนี้บลูชีสยังสามารถนำไปเป็นส่วนประกอบการการทำซอสได้อีกด้วย

  • พาร์มีซานชีส (Parmigiano-Reggiano or Parmesan)

ชีสยอดนิยมที่คุ้นตา เป็นชีสแข็ง มีถิ่นกำเนิดมาจากประเทศอิตาลี ในประเทศไทยเราจะเห็นชีสชนิดนี้ในอาหารหลากหลายเมนู  เช่น ขูดโรยหน้าสลัด พิซซ่า สปาเกตตี้คาโบนาร่า ว่ากันว่าชีสชนิดนี้ ยิ่งบ่มนาน ยิ่งอร่อยและรสชาติดี ด้วยรสออกเค็ม ๆ  มัน ๆ เมื่อนำไปใส่ในจานอาหารจะช่วยให้อาหารจานนั้นมีรสชาติที่โดดเด่นมากขึ้น

  • ชีสสวิส (Swiss Cheese)

หากใครเคยดู tom & jerry ที่เจ้าหนู Jerry มีเมนูโปรดคือเนยแข็งหรือชีส ซึ่งลักษณะของชีสสวิสจะเหมือนกับในการ์ตูนที่ Jerry กินนั่นเอง มีถิ่นกำเนิดมาจากสวิตเซอร์แลนด์ มีรูปลักษณ์โดดเด่นด้วยรูกระจายเต็มเป็นโพลง ซึ่งเกิดจากการบ่มและมีก๊าซคาร์บอนไดออกไซค์ภายในเนื้อชีส มีขนาดก้อนที่ใหญ่ และใช้เวลาในการบ่มที่ยาวนานกว่า 10-18 เดือน นิยมทานคู่กับไวน์ขาวหรือแชมเปญ

ทั้งหมดนี้คือชีสที่เรามักจะนิยมทานกัน ซึ่งหากใครชอบแบบไหน สามารถไปเลือกทานกันได้ ตัวชีสจะช่วยให้รสชาติอาหารดูโดดเด่นขึ้นได้ค่ะ

ติดตามข้อมูลข่าวสาร โปรโมชั่นพิเศษ ได้ที่

Facebook : Big C

Line Official : Big C TH

บทความที่นาสนใจ : Big C Blog

บิ๊กซี ออนไลน์ : Big C Shopping Online

Big C Call Chat Shop โทรสั่ง ไลน์สั่ง : ค้นหาสาขาใกล้บ้าน

แชร์เรื่องราว